เมื่อบริโภคน้ำมันอิ่มตัวแล้ว มีคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดสูงจริงหรือ?
การกล่าวหาดังกล่าว ก็ไม่เป็นความจริงเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากการศึกษาของนักวิชาการนิวซีแลนด์ ชื่อ Prior (1981) ซึ่งได้ศึกษาประชากรในเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก 2 เกาะ คือเกาะ Pukapuka และ Tokelau ซึ่งเป็นเกาะที่ห่างไกลความเจริญ และบริโภคมะพร้าวเป็นอาหารหลัก โดยรับประทานในรูปต่างๆ ทั้งในรูปของอาหารมื้อหลัก และของว่าง
โดยชาวเกาะ Pukapuka ได้รับไขมันเป็นพลังงานในอัตรา 30 - 40% ของความต้องการแคลอรีประจำวัน มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 170 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (มก./ดล.)ในผู้ชาย และ 176 มก./ดล. ในผู้หญิง ส่วนชาวเกาะ Tokelau ซึ่งบริโภคไขมันเป็นพลังงานในอัตราสูงถึง 56% ของความต้องการแคลอรี่ประจำวัน ก็มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 208 มก./ดล. สำหรับผู้ชาย และ 216 มก./ดล. สำหรับผู้หญิง
งานวิจัยเพื่อสนับสนุน
การศึกษาทางระบาดวิทยา
ประจักษ์พยานที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือชนชาติที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมากๆ เช่น ชาวศรีลังกา ชาวโพลีนีเซีย มีอุบัติการณ์ของโรคหัวใจน้อยมาก และเมื่อเปรียบเทียบชนเชื้อชาติเดียวกัน ที่กลุ่มหนึ่งยังคงบริโภคน้ำมันมะพร้าว ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไปบริโภคน้ำมันถั่วเหลือง ดังเช่นคนในเกาะที่ห่างไกลความเจริญในประเทศที่เป็นหมู่เกาะ เช่น ฟิลิปปินส์ ซามัว เกาะคุ๊ก ฯลฯ เปรียบเทียบกับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศเดียวกัน ปรากฏว่า คนในเกาะที่อยู่ห่างไกลความเจริญและบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นหลัก มีอุบัติการณ์ของโรคหัวใจน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคนในเมืองหลวงที่บริโภคน้ำมันถั่วเหลือง Kaunitz and Dayrit (1992) ได้สรุปว่าประชากรที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ ไม่มีปัญหาการมีคอเลสเตอรอลในกระแสโลหิตสูง หรือการเป็นโรคหัวใจแต่อย่างใด
อัตราส่วนคอเลสเตอรอล
จากผลการวิจัย พบว่าน้ำมันมะพร้าว ช่วยปรับระดับของคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณของ high density lipoproteins (HDL) (คอเลสเตอรอลดี) ซึ่งป้องกันโรคหัวใจ และช่วยลดปริมาณของ low-density liproteins (LDL) (คอเลวเตอรอลเลว) ซึ่งทำให้เป็นโรคหัวใจ
Hostmark และคณะ (1980) ได้ทดลองเปรียบเทียบผลของอาหารที่ประกอบด้วยน้ำมันมะพร้าว 10% และน้ำมันดอกทานตะวัน 10% ในหนูทดลอง ปรากฏว่า อาหารที่มีน้ำมันมะพร้าว ช่วยลดปริมาณของ LDL และเพิ่ม HDL อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารที่มีน้ำมันดอกทานตะวัน ยิ่งกว่านั้นปริมาณการสะสมคอเลสเตอรอล ในเนื้อเยื่อในสัตว์ทดลอง ที่เลี้ยงด้วยน้ำมันดอกทานตะวัน ก็มากเป็น 6 เท่าของที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าว
Awad (1981) ทดลองกับหนูพันธุ์ Wistar โดยใช้น้ำมันมะพร้าว 14% และน้ำมันดอกทานตะวัน 14% พบว่า คอเลสเตอรอลที่สะสมในเนื้อเยื่อของหนูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันดอกทานตะวัน มากกว่าหนูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวถึง 6 เท่า หนูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าว จะมีการสะสมคอเลสเตอรอลที่ตับและส่วนอื่นๆ น้อย
อย่างไรก็ตาม ปริมาณของคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol) ไม่ได้บอกความเสี่ยงที่แท้จริงของโรคหัวใจ เพราะมีทั้ง HDL และ LDL ค่าคอเลสเตอรอลรวม 200 มก./ดล. ถือว่าเป็นค่าปรกติ แต่คนที่ตายด้วยโรคหัวใจเกือบครึ่ง มีค่าคอเลสเตอรอล ต่ำกว่า 200 มก./ดล. (Fife, 2006)
จากผลการวิจัยของ Kinosian และคณะ (1994) พบว่า ตัวบ่งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจดีที่สุด ไม่ใช่ค่าคอเลสเตอรอลรวม แต่เป็นอัตราส่วนคอเลสเตอรอล (cholesterol ratio) ซึ่งเท่ากับคอเลสเตอรอลรวม แต่เป็นอัตราส่วนคอเลสเตอรอล (cholesterol ratio) ซึ่งเท่ากับคอเลสเตอรอลรวม หารด้วย HDL หรืออีกนัยหนึ่งมีคอเลสเตอรอลรวม สูงเป็นกี่เท่าของ HDL
●ถ้าค่าที่ได้เท่า เท่ากับ 5.0 ถือว่าปรกติ
●ค่าสูงกว่า 5.0 แสดงความเสี่ยงสูง
●ค่าต่ำกว่า 5.0 แสดงความเสี่ยงต่ำ
โดยอาศัยเกณฑ์ดังกล่าว เราอาจบอกอัตราความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ ดังตัวอย่าง 2 ตัวอย่างข้างล่างนี้
ตัวอย่างที่ 1 : บุคคลผู้หนึ่ง มีค่าคอเลสเตอรอลรวมเท่ากับ 180 มก./ดล. หากใช้เกณฑ์ปรกติเป็น 200 มก./ดล. บุคคลผู้นี้ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้า HDL มีค่า 32 มก./ดล. อัตราส่วนคอเลสเตอรอลจะเป็น 180/32 = 5.6 กลับแสดงความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างที่ 2 : บุคคลผู้หนึ่ง มีค่าคอเลสเตอรอลรวมเท่ากับ 240 มก./ดล. ถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ถ้า HDL มีค่า 50 มก./ดล. อัตราส่วนคอเลสเตอรอล เป็น 240/50 = 4.8 กลับแสดงความเสี่ยงต่ำ
Mendis และคณะ (1989) ได้ศึกษาผลของน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันข้าวโพดต่อปริมาณคอเลสเตอรอล HDL และ LDL ในชายชาวศรีลังกา ซึ่งเป็นชนชาติที่นิยมบริโภคน้ำมันมะพร้าวมากที่สุด ได้มีการวัดค่าคอเลสเตอรอลในอาสาสมัครที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ จากนั้น จึงให้อาสาสมัครเปลี่ยนไปบริโภคน้ำมันข้าวโพด แล้ววัดค่าคอเลสเตอรอล ปรากฏว่าค่าคอเลสเตอรอลลดลงจาก 179.6 เป็น 146.0 มก./ดล. และ LDL ลดลงจาก 131.6 เป็น 100.3 มก./ดล. ค่าทั้งสองแสดงว่าน้ำมันข้าวโพด ดีกว่าน้ำมันมะพร้าว ในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม หากนำค่า HDL มาพิจารณา ก็จะได้ภาพที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ค่า HDL ในอาสาสมัครลดลงจาก 43.4 เป็น 25.4 มก./ดล. ทำให้อัตราส่วนคอเลสเตอรอล เพิ่มขึ้นจาก 179.6/43.4 = 4.14 เป็น 146.0/25.4 = 5.75 ซึ่งแสดงความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูง (เพราะได้ค่าสูงกว่า 5.0) ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า แม้ว่าการบริโภคน้ำมันมะพร้าว จะทำให้อาสาสมัคร มีค่าคอเลสเตอรอลสูงกว่าการบริโภคน้ำมันข้าวโพด แต่น้ำมันมะพร้าว ก็ลดอัตราส่วนคอเลสเตอรอล (ซึ่งเป็นตัวบ่งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ) ได้มากกว่า
นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาอีกหลายชิ้น ที่แสดงให้เห็นว่า น้ำมันอิ่มตัวเป็นตัวการของการเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่ดี ในขณะที่กรดไขมันในรูปทรานส์ (trans fats) ซึ่งได้มาจากน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ลด HDL (Judd et al. 1994; Mersink and Katan 1990)
อย่างไรก็ตาม การมีคอเลสเตอรอลสูง ก็เป็นเพียงปัจจัยความเสี่ยงอันหนึ่งของโรคหัวใจเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีคอเลสเตอรอลสูงทุกคน จะต้องเป็นโรคหัวใจ และคนที่เป็นโรคหัวใจทุกคน จะต้องมีคอเลสเตอรอลสูง
เอกสารอ้างอิง :
Awad, A.B. 1981. Effect of dietary lipids on composition and glucose
utilization by rat adipose tissue,J.Nutr.111:34-39
Judd, J.T.; Clevidence, B.A.; Muesing, R.A.; Wittes, J.; Sunkin, M.E.;
and Podczasy, J.J. 1994. Dietary trans fatty acids: Effects on plasma
lipids and lipoproteins of healthy men and women. Amer.J.
Clin.Nutr.59:861-668
Kaunitz, H.; and Dayrit, C.S. 1992. Coconut oil consumption and coronary heart
disease. Philippine J. Int. Med. 30:165-71.
Kinosian, B.; Glick, H.; and Garland, G. 1994. Cholesterol and coronary heart
disease: Predicting risks by levels and ratios. Ann.Int. Med. 121:
641-647.
Mendis, S.K.R.; Wissler, R.W.; Bridenstine, R.T.; and Podbielski, F.J. 1989.
The effects of replacing coconut oil with corn oil on human serum
lipid profiles and platelet derived factors active in atherosclerosis. Nutrition
Reports International Vol. 40, No.4
Prior, LA.; Davidson, F.; Salmond; C.E.; and Czochanska, Z. 1981.
Cholesterol, coconuts, and diet on Polynesian atolls: a natural
experiment: the Pukapuka and Tokelau Island studies. Amer. J.Clin. Nutr.34:1552-1561.
เยี่ยมชม Facebook page ของเราได้ที่ https://www.facebook.com/Nativehealthybrand
สามารถสั่งซื้อสินค้าได้อีกหนึ่งช่องทางที่
https://www.facebook.com/Nativehealthybrand/app_288916771134535
website : www.Native-brandz.com นี้ รองรับการเปิดเว็บไซน์ด้วย Chorme Firefox สำหรับ IE (การทำงานจะช้ากว่าปกติ)